สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ในทศวรรษของปีค.ศ.๒๒๐การขุดค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีเพื่อพิสูจน์ความเจริญของอินเดียในสมัยก่อนประวัติศาสตร์และจากการขุดค้นก็พบซากเมืองฮัปปา(Harappa)และโมเฮนโจ-ดาโร(Mohenjo-(Daro)
ในกลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งนักโบราณคดีสันนิฐานว่าเมืองสองนี้เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมเก่าแก่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของลุ่มแม่น้ำสินธุและตอนบนของลุ่มแม่น้ำคงคาเมื่อสมัยประมาณ๒๕๐๐ปีหรือ๒๐๐๐ปีก่อนจาหลักฐานได้ว่าชาวอินเดียในลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นชาวเมืองที่มีความเจริญสูงมากโดยสังเกตจักการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบถนนตัดเป็นมุมฉากนอกจากนี้ยังมีการขุดพบศิลปวัตถุต่างๆอีกมากที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและความคิดสร้างสรรค์เช่นที่ประทับตราทำด้วยหินสบู่จำนวนมากบางชิ้นฝีมือการสลักยอดเยี่ยมมากโดยแกเป็นเทพเจ้าเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ(ส่วนใหญ่เป็นรูปวัวอินเดีย)และยังพบเครื่องประดับทำด้วยหินมีค่าหลายชนิดบางชนิดก็ทำด้วยกระดูกสัตว์พวกงาช้างเปลือกหอยประเภทดินเผาทำเป็นรูปนกและสัตว์พวกเครื่องรางและแกะสลักเป็นรูปเสือช้างจระเข้แต่ที่สนใจและแสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อกับเมโสโมเตเมียและอียิปต์คือประติมากรรมลอยตัวขนาดเล็กซึ่งรูปครึ่งตัวของชายมีเครา ใบหน้าคล้ายชนชาติเซมิติก(Semitic) ในเมโสโปเตเมียเทพเจ้าบางองค์ของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุยังคงมีอิทธิพลอยู่ศาสนาพรามณ์-ฮินดูปัจจุบันซึ่งหลักฐานแสดงความต่อเนื่องของอารยธรรมอินเดีย
![]() |
ประติมากรรมลอยตัวขนาดเล็กซึ่งรูปครึ่งตัวของชายมีเครา |
สมัยประวัติศาสตร์
ศิลปะอินเดียในสมัยนี้ส่วนใหญ่จะมุ่งพรรณนาหรือเล่าเรื่องเป็นสำคัญ(Base reelief)
หรือภาพเขียนบนฝาผนังขนาดใหญ่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่๔
ศิลปะอินเดียเจริญรุ่งเรืองสูงสุดแบบหนึ่งโลก โดยสามารถจำแนกออกเป็นต่างๆ
ได้ดังนี้
๑) ศิลปะแบบสัญจี(Sanchi) เป็นศิลปะของอินเดียในสมัยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ใน
วงศ์เมานิยะ(Maurya) และศุงคะ(Sunga)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น
ปรากฏผลงานทั้งด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมมากมาย ในส่วนสถาปัตกรรมแม้จะเหลืออยู่ไม่มากนักแต่ปรากฏหลักฐานเป็นศาสนสถานที่เป็นถ้ำ ซากพระราชวังพระอโศกมหาราชที่เมืองปาฏลีบุตร และที่เมืองตักสิลา สถูปต่างๆ และเสาแปดเหลี่ยมสำหรับสถูปที่สำคัญคือสถูปสาญจีซึ่งมีลักษณะเป็นโอคว่ำหรือขันคว่ำลักษณะดังกล่าวเป็นแบบอย่างสร้างสถูปอื่นๆในสมัยอื่นๆ ในสมัยต่อมาเรียกสถูปว่า“ศิลปะแบบสาญจี”ส่วนทางด้านประติมากรรมของอินเดียในระยะแรกมักจะเป็นลวดลายประกอบสภาปัตยกรรมมีทั้งประเภทประตากรรมลอยตัว ซึ่งมักเป็นรูปเคารพในศาสนาสถานหรือเทพเจ้าสำคัญๆ เช่น รูปแม่พระธรนี และประเภทภาพสลักนูนต่ำสำหรับพรรรณาเรื่องราวทางศาสนาแต่ศิลปะในสมัยนี้ยังไม่กล้าประดิษฐ์พระพุทธประวัติจะใช้สัญลักษณ์แทนอาทิดอกบัวแทนปางประสูติ
ต้นโพธิ์แทนปางตรัสรู้ ธรรมจักรแทนปางปฐมเทศนาและสถูปแทนปางปรินิพพาน เป็นต้น
๒) ศิลปะแบบคันธาระ (Candhara)
เอาอิทธิพลศิลปะของกรีกรุ่นหลังเข้ามาผสมผสานกับศิลปะท้องถิ่นมากขึ้นที่สำคัญคือการสร้างพุทธศิลป์โดยนิยมทำด้วยทำด้วยหินซิสต์(Schist)สีน้ำเงินปนเทาหรือค่อนข้างเขียนหรือใช้ปูนปั้นแล้วระบายสีพระพุทธรูปแบบ “คันธาระ”จะแสงอิทธิพลของกรีกอย่างชัดเจนนอกจากนี้ศิลปะแบบคันธาระยังเป็นศิลปะสมัยแรกที่กล้าประดิษฐ์พระพุทธรูปขึ้นเป็นมนุษย์อันเป็นแบบที่เก่าแก่ที่สุด
ด้วยความคิดใหม่เช่นนี้ได้ส่งผลสะท้อนไปสู่การประดิษฐ์รูปภาพทางพระพุทธศาสนาอาทิ ปาง ประสูติที่มีภาพพระพุทธองค์เสด็จออกมจากปรัศว์(สีข้าง) ของมารดาหรือแสดงภาพปางเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน เป็นรูปพระพุทธเจ้ากำลังบรรทมตะแคงสิ้นพระชนม์แวดล้อมไปด้วยพุทธสาวก

๓) ศิลปะแบบมถุรา (Mathura)
ประติมากรรมในสมัยนี้จะนิยมใช้หินทรายสีชมพูแก่ลักษณะของพระพุทธรูปในสมัยนี้แม้จะยังคงแสดงให้เห็นอิทธิของศิลปะแบบคันธาระอยู่บ้างแต่พระพักตร์ของพระองค์จะมีลักษณะคล้ายชาวอินเดียมากขึ้นพระเคียรมีลักษณะกลมผ้าจีวรบางยิ่งกว่าแบบคันธาระและแนบสนิทกับลำตัว นอกจากนี้ยังมีภาพสลักบนงาช้างและกระดูกด้วยวิธีแกะสลักศิลปะแบบมถุราระยะหลังยังคงรักษาการประดิษฐ์แบบธรรมชาติของศิลปะอินเดียโบราณไว้
มัลักษณะผสมผสานโดยบางส่วนจะคล้ายกับมถุราลักษณะแบบอมราวดีจะแสดงความเคลื่อนไหวตื่นเต้นมากในระยะแรกและต่อมาค่อยสงบลงแล้วกลับแสดงท่าเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้งภาพบุคคลไม่มีรูปร่างสมบูรณ์ดังแต่ก่อน
ศิลปะแบบนี้จะเป็นการผสมระหว่างศิลปะอินเดียสมัยโบราณและการทำตามอุดมคติปะปนกับการแสดงชีวิตจิตใจภาพที่สำคัญในสมัยนี้จะเป็นภาพในวงกลมแสดงการนำบาตรหรือเกศาของพระพุทธเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์พระพุทธรูปอมราวดีมักจะครองจีวรห่มเฉียง จีวรเป็นริ้วทั้งองค์ และที่เบื้องล่างใกล้พระบาทมีขอบจีวรหนายกจากทางด้านขวาขึ้นมาพาดข้อพระหัตถ์ซ้าย


๕) ศิลปะแบบคุปตะ (Gupta)
ถือเป็นยุคทองศิลปะอินเดียซึ่งลักษณะศิลปะแบบคุปตะและคุปตะนั้น มีลักษณะสมัยใหม่ที่พัฒนาจากศิลปะแบบเก่ามีความสมดุลได้สัดส่วน มีความระเอียดอ่อนสวยงามที่เป็นธรรมชาติ มีรูปร่างและเส้นเด่นชัดซึ่งแสดงให้เห็นความเป็นตัวของตนเองในทางสร้างสรรค์ผลงานที่สร้างสรรค์ผลงานที่สำคัญคือพระพุทธรูป เช่น สารนาถ (Sarnath) และมถุรา
(Mathura) ภาพสลักนูนสูงที่ถ้ำเอลลูรา
จิตรกรรมที่ถ้ำอชันตาเป็นภาพในพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ทั้งในด้านองค์ประกอบและความสมดุล
พระพุทธรูปสมัยคุปตะมีชื่อเสียงแพร่หลายมากที่สุด
เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่แสดงความอ่อนโยน ความเมตตากรุณาลักษณะที่สงบนิ่งสำรวม
ศิลปะสมัยคุปตะจึงมีอิทธิพลศิลปะในสมัยหลังหลังๆสืบต่อมาอีกหลายศตวรรษ
ขอบคุณสำหรับความรู้นะคะ
ตอบลบขอบคุณ..ครับ
ตอบลบข้อมูลระเอียดดีครับแต่พลาดอย่างหนึ่งไม่ได้บอก่วงเวลานะครับ
ตอบลบการบ้านเสร็จละครับ ขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณมากๆๆนะค่ะได้ความรู้เยอะเลย
ตอบลบสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ผู้ศึกษาต้องทำความเข้าใจในศิลปะอินเดียคืออะไรหรอคะ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะกำลังศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะอินเดียเลยค่ะ
ตอบลบขอบคุณคับ
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ กำลังทำสรุปวิชาเรียนพอดีเลยค่ะ
ตอบลบ