2.สมัยสมโบร์ไพรกุก (Sambor Prie kuk) 8.สมัยแปรรูป (Pre Rup)
3.สมัยไพรกเมง (Prei Kmeng) 9.สมัยบันทายสรี (Banteay Srei)
4.สมัยกำพงพระ (Kampong Prah) 10.สมัยคลัง (Khleang)
5.สมัยกุเลน (Kulen) 11.สมัยบาปวน (Baphuon)
6.สมัยพระโค (Preah Ko) 12.สมัยนครวัด (Angkor Wat)
7.สมัยบาแค็ง (Bakheng) 13.สมัยบายน (Bayon)
เพื่อให้เข้าใจศิลปะขอมได้ชัดเจนมากขึ้น จึงขอจำแนกรูปลักษณะภาพรวมของศิลปะขอมแต่ละประเภท โดยสังเขปดังนี้
สถาปัตยกรรม ลักษณะสำคัญของศิลปะขอม คือ ความมีระเบียบและการแสดงอำนาจอย่างแข็งกระด้าง ลักษณะเช่นนี้เห้นได้ชัดจากการวางผังเมืองอย่างได้สัดส่วน อาทิ เมืองพระนครหรือราชธานีก่อนเมืองพระนคร คือเมืองหริหราลัย (Hariharalaya) สถาปัตยกรรมขอมในชั้นต้น คือ ศาสนสถานที่เรียกว่า “ปราสาทขอม” ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับศาสนสถานทางภาคเหนือของประเทศอินเดียมาก โดยทั่วไปจะสร้างด้วยอิฐตั้งอยู่โดด ๆ แยกออกจากกัน แต่ต่อมาไม่นานการสร้างปราสาทเหล่านี้ก้ได้รวมกันเข้าเป็นหมู่และตั้งอยู่บนฐานอันเดียวกัน เช่น ปราสาทพระโค ปราสาทบันทายสรี เป็นต้น ต่อมาตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๔ เป็นต้นมา คือตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ก็เกิดมีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาขึ้นในกัมพูชาและทำให้เกิดสถาปัตยกรรมแบบใหม่ขึ้นในศาสนสถานขอมขึ้นคือ ฐานทำเป็นชั้นแล้วสร้างปราสาทไว้ข้างบนนั้น ฐานแต่ละชั้นก็คือการจำลองเขาพระสุเมรุ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางของมนุษย์โลก ดังตัวอย่างปราสาทบากอง (Bakong) ปราสาทพนมบาแค็ง (Phnom Bakheng) เป็นต้น ระยะต่อมาโครงสร้างสถาปัตยกรรมของขอมได้มีการพัฒนาส่วนประกอบของปาราสาทเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มระเบียงเข้ามาประกอบกับสองส่วนแรกที่เป็นปราสาทและฐานเป็นชั้น เช่น ปราสาทตาแก้ว (Takeo) ในสมัยคลังและปราสาทนครวัด ซึ่งปราสาทนครวัดนับเป็นศาสนสถานกลุ่มที่สมบูรณ์และงดงามที่สุดในศิลปะขอม สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ระหว่าง พ. ศ. ๑๖๕๐ - พ. ศ. ๑๗๐๐ เป็นการพัฒนามาจากปราสาทตาแก้ว
สถาปัตยกรรม ลักษณะสำคัญของศิลปะขอม คือ ความมีระเบียบและการแสดงอำนาจอย่างแข็งกระด้าง ลักษณะเช่นนี้เห้นได้ชัดจากการวางผังเมืองอย่างได้สัดส่วน อาทิ เมืองพระนครหรือราชธานีก่อนเมืองพระนคร คือเมืองหริหราลัย (Hariharalaya) สถาปัตยกรรมขอมในชั้นต้น คือ ศาสนสถานที่เรียกว่า “ปราสาทขอม” ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับศาสนสถานทางภาคเหนือของประเทศอินเดียมาก โดยทั่วไปจะสร้างด้วยอิฐตั้งอยู่โดด ๆ แยกออกจากกัน แต่ต่อมาไม่นานการสร้างปราสาทเหล่านี้ก้ได้รวมกันเข้าเป็นหมู่และตั้งอยู่บนฐานอันเดียวกัน เช่น ปราสาทพระโค ปราสาทบันทายสรี เป็นต้น ต่อมาตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๔ เป็นต้นมา คือตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ก็เกิดมีการเปลี่ยนแปลงทางศาสนาขึ้นในกัมพูชาและทำให้เกิดสถาปัตยกรรมแบบใหม่ขึ้นในศาสนสถานขอมขึ้นคือ ฐานทำเป็นชั้นแล้วสร้างปราสาทไว้ข้างบนนั้น ฐานแต่ละชั้นก็คือการจำลองเขาพระสุเมรุ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางของมนุษย์โลก ดังตัวอย่างปราสาทบากอง (Bakong) ปราสาทพนมบาแค็ง (Phnom Bakheng) เป็นต้น ระยะต่อมาโครงสร้างสถาปัตยกรรมของขอมได้มีการพัฒนาส่วนประกอบของปาราสาทเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มระเบียงเข้ามาประกอบกับสองส่วนแรกที่เป็นปราสาทและฐานเป็นชั้น เช่น ปราสาทตาแก้ว (Takeo) ในสมัยคลังและปราสาทนครวัด ซึ่งปราสาทนครวัดนับเป็นศาสนสถานกลุ่มที่สมบูรณ์และงดงามที่สุดในศิลปะขอม สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ระหว่าง พ. ศ. ๑๖๕๐ - พ. ศ. ๑๗๐๐ เป็นการพัฒนามาจากปราสาทตาแก้ว
ประติมากรรม ภาพสลับนูนต่ำของขอมในชั้นต้นสลับคล้ายของจริงตามธรรมชาติเหมือนกับภาพสลักในประเทศอินเดีย เช่น บรรดาทับหลังของปราสาทหลังกลางในศาสนสถานหมู่ใต้ที่สมโบร์ แต่ต่อมาก็มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป ดังเห็นได้จากปราสาทบากองในสมัยพระโค และที่ปราสาทกระวันในบริเวณเมืองพระนคร ภาพสลักแห่งนี้สลักเป็นรูปพระนารายณ์
และพระลักษณ์ มียืนอยู่เหนือผนังภายในศาสนสถาน แสดงความแข็งกระด้างช่นเดียวกับประติมากรรมลอยตัวในขณะนั้น นอกจากนี้ยังพบภาพสลักบนหน้าบันของปราสาททายสรี ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจ เพราะสลักอย่างได้ระเบียบและเต็มไปด้วยความงดงามอ่อนช้อย เช่น ภาพสลักนางอัปสรติโลตตมาที่อยุ่ม่ามกลางอสูรสองตน ปัจจุบันภาพนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กีเมต์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศษ และประมาณ พ.ศ.๑๖๕๐-๑๗๐๐ ได้มีภาพสลักขนาดใหญ่ซึ่งแปลกประหลาดอย่างยิ่งที่ระเบียงปราสาทนครวัด เป็นสภาพสลักนูนต่ำขนาดใหญ่ ๘ ภาพสลักอยู่บนระเบียงชั้นที่ ๑ ภาพเหล่านี้แสดง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น